ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด

วิธีการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอดการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด คือ การผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะบกพร่องของผนังช่องคลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษา ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ กระบังลมหย่อน

ซึ่งสาเหตุเกิดเนื่องจากโครงสร้างต่างๆ ที่พยุงอวัยวะในอุ้งเชิงกรานนั้นเสื่อมตัว และอ่อนแอลง ทําให้ผนังช่องคลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลังบางลง  ส่งผลให้มีก้อนโผล่เข้าไปในช่องคลอด หรือบริเวณปากช่องคลอด

เนื่องจากอวัยวะต่างๆที่อยู่รอบ ๆ ผนังช่องคลอด–ดันผนังช่องคลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (ดังรูป) ทำให้เวลาพิเศษของคุณแย่ลง และคุณอาจจะต้องการ–การผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

สาเหตุและอาการของภาวะกระบังลมหย่อน ที่ต้องการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด 

1) สาเหตุของการเกิดภาวะกระบังลมหย่อน ได้แก่ :

  • การคลอดลูกหลายคน หรือใช้เวลาในการเบ่งคลอดนาน
  • การใช้ปากคีม หรือเครื่องดูดสูญญากาศในการช่วยคลอด
  • การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน เนื่องจากภาวะหมดประจําเดือน
  • การตัดเพื่อขยายปากช่องคลอด ในการคลอดลูก ทําให้ปากช่องคลอดฉีกขาด
  • การมีประวัติอาการท้องผูกเรื้อรัง ความเครียดเรื้อรัง–(มีผลกับการเคลื่อนไหว หรือการทำงานของลำไส้)
  • เกิดตามหลังการตัดมดลูก เพราะการตัดมดลูก ทําให้มีการตัดหรือเกิดการทําลายโครงสร้างต่างๆ ที่พยุงมดลูก รวมทั้งเอ็นและเนื้อเยื่อที่พยุงช่องคลอดทางด้านบน ที่อยู่รอบๆ ปากมดลูก ที่ช่วยพยุงอวัยวะต่าง ๆ ในอุ้งเชิงกราน

2) อาการขณะมีเพศสัมพันธ์ :

  • มีอาการเจ็บ ขณะที่มีเพศสัมพันธ์
  • ขาดความสุข หรือไม่ถึงจุดสุดยอด
  • มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ในช่วงระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
  • ลดความสามารถ (จำนวนครั้ง) ที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้ต่อ 1 สัปดาห์

3) อาการทางลำไส้หรือทางเดินปัสสาวะ :

  • มีอาการท้องผูกเรื้อรัง
  • รู้สึกมีอาการปวดถ่วงที่ปากช่องคลอด
  • มีอาการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะบ่อยๆ
  • ปัสสาวะบ่อย หรือรู้สึกปวดปัสสาวะตลอดเวลา
  • รู้สึกว่าถ่ายปัสสาวะ หรือถ่ายอุจจาระได้ไม่หมด
  • รู้สึกมีแรงดันที่ปากช่องคลอดและช่องคลอด หรือมีแรงดันที่กระเพาะปัสสาวะ
  • มีอาการปัสสาวะเล็ดขณะที่คุณ ไอ, จาม, วิ่งออกกําลังกาย, เวลาทำกีจกรรมทางกายภาพหรือเวลายกของหนัก

 

การผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด ในภาวะอุ้งเชิงกรานที่หย่อนคล้อยทางด้านหน้า

ในภาวะอุ้งเชิงกรานที่หย่อนคล้อยทางด้านหน้า

การผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด ในภาวะอุ้งเชิงกรานที่หย่อนคล้อยทางด้านหลัง

ในภาวะอุ้งเชิงกรานที่หย่อนคล้อยทางด้านหลัง

 

ปัจจุบันมีการนำ เลเซอร์ มาใช้ในการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด ซึ่งส่งผลให้การผ่าตัดมีความแม่นยำ และเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเลเซอร์สามารถควบคุมความความลึกของแผลผ่าตัดได้ ทําให้ช่วยลดการเสียเลือด รวมทั้งช่วยลดการทำลายเส้นเลือดที่มาเลี้ยงแผลผ่าตัดและเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านล่างของแผลผ่าตัด ทําให้ส่งผลดีต่อกระบวนการหายของแผลผ่าตัด เมื่อเทียบกับการทำผ่าตัดโดยการใช้ใบมีดแบบดั้งเดิม

1) ข้อควรทราบและการเตรียมตัวก่อนการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด

  • การผ่าตัด จะช่วยแก้ไขภาวะท่อปัสสาวะ, กระเพาะปัสสาวะ, ลำไส้ใหญ่หรือลำไส้ตรงหย่อน ด้วยวิธีการนี้จะทำให้ ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนหรือกระบังลมหย่อนดีขึ้น และในขณะเดียวกันก็ทำให้ช่องคลอดกระชับขึ้นด้วย 
  • ทั้งนี้ในกรณีของการรักษาเรื่องอาการปัสสาวะเล็ดนั้น การผ่าตัดนี้ไม่สามารถรักษาอาการปัสสาวะเล็ดได้ถาวร ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะกลับมามี ภาวะปัสสาวะเล็ด ได้อีก ภายในระยะ 5 ปี หลังการผ่าตัด 
  • ในช่วงของการปรึกษา ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด คุณจะได้พบกับ แพทย์หญิง วิทัศศนา เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการซักประวัติและตรวจภายใน กรณีที่มีการติดเชื้ออยู่ในช่องคลอด เช่น เชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรีย ควรรักษาภาวะติดเชื้อให้หายก่อนทำการผ่าตัด
  • หลังการตรวจภายใน ผู้ป่วยจะได้รับการอธิบาย เกี่ยวกับความหย่อนยานของช่องคลอด, ข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัด, การให้ยาระงับความรู้สึก, ผลลัพธ์ของการทำผ่าตัด, ทางเลือกในการรักษา ภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัด และการพักฟื้นหลังการผ่าตัด รวมทั้งจะมีการแจ้งราคา ค่าผ่าตัดแก้ไขกระบังลมหย่อน ก่อนการตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด
  • การผ่าตัดนี้จะทำการผ่าตัดโดยการดมยาสลบ ผู้ป่วยจึงต้องงดน้ำและอาหาร ก่อนทำการผ่าตัดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงในการสำลักเศษอาหาร ในระหว่าง หรือหลังจากการทำผ่าตัด 
  • การผ่าตัดนี้มีข้อจำกัด ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์และความพึงพอใจได้ทั้งหมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเดิมของผู้ป่วย ได้แก่ กรณีมีภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนร่วมกับมีมดลูกหย่อนด้วย อาจจำเป็นต้องทำผ่าตัดมดลูกออกทางช่องคลอดร่วมด้วย และ
  • นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับโรคประจำตัวเพราะโรคประจำตัวบางชนิด ส่งผลต่อกระบวนการหายของแผลผ่าตัด รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับการดูแลแผลผ่าตัดที่ถูกต้อง ในการป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยเกินการควบคุมของแพทย์ 
  • ทั้งนี้อาจจะเกิดจากสาเหตุใด ๆ ก็ตาม ที่ทําให้การผ่าตัดมีผลคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น การผ่าตัดแก้ไขก็อาจทำได้ โดยการพิจารณาตามความเหมาะสม และความเป็นไปได้ ทั้งนี้ผู้ป่วยและแพทย์ควรจะปรึกษาร่วมกัน ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดแก้ไขต่อเนื่อง   โดยเสียค่าใช้จ่าย ค่ายา, ค่าห้องและค่าใช้จ่ายทางวิสัญญีตามจริง

บริเวณที่ทำการผ่าตัด มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน

  • เนื่องจากภาวะเลือดออกมากผิดปกติ ในระหว่างผ่าตัด หรือหลังการผ่าตัดได้  เพราะเป็นการผ่าตัดในช่องคลอด ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดค่อนข้างมาก ภาวะเลือดออกผิดปกติ อาจพบได้ประมาณน้อยกว่าร้อยละ 1
  • แต่เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ดังนั้นผู้ป่วยควรหยุดรับประทานยาในกลุ่มแอสไพริน หรือกลุ่มยาลดการแข็งตัวของเลือด 10-15 วัน ก่อนหรือหลังการผ่าตัด
  • มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากภาวะแผลแยกได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากแผลผ่าตัดอยู่ในบริเวณที่จะได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยควรจะต้องหยุดทำงาน และงดกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำเป็นประจำในช่วง 5-7 วันแรกหลังการผ่าตัด
  • รวมทั้งในส่วนแพทย์ที่ทำผ่าตัดจำเป็นต้องมีความระมัดระวังในการผ่าตัด และมีเทคนิคการเย็บแผลผ่าตัดที่ดี ในการป้องกันการเกิดภาวะแผลแยก
  • นอกจากนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน จากการอักเสบและการติดเชื้อของแผลผ่าตัด ซึ่งทำให้เกิดภาวะแผลแยกได้ เนื่องจากแผลผ่าตัดอยู่บริเวณที่อับชื้น รวมทั้งอยู่ใกล้ทางเดินปัสสาวะและทางเดินอุจจาระ ซึ่งมีแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ ที่อาจให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อได้
  • ดังนั้นการป้องกันการติดเชื้อแล้วเกิดแผลแยก โดยการฉีดยาปฏิชีวนะก่อนการผ่าตัด และการรับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งสําคัญ 

ใครที่ไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัด และต้องปรึกษแพทย์ก่อนการผ่าตัด 

  • ไม่แนะนำให้ทำการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด ในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และในกรณีที่ไม่ได้แจ้งแฟนหรือคู่สมรส ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาความไม่เข้าใจกัน เนื่องจากต้องงดการมีเพศสัมพันธ์หลังการผ่าตัด
  • รวมทั้งผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัด ต้องไม่ตั้งครรภ์ หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ในระยะ 3 เดือนนี้ แม้จะไม่เคยมีรายงานถึงผลเสียของการผ่าตัดต่อการตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์ก็ตาม
  • ในกรณีที่ผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัดมีโรคประจำตัว ผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัดจำเป็นต้องได้รับการประเมินสุขภาพจากอายุรแพทย์ก่อน เพื่อดูว่าสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้หรือไม่
  • ทั้งนี้อายุรแพทย์จะทำการซักประวัติ, ตรวจร่างกาย และตรวจเลือดจำเพาะโรค เพื่อการทดสอบทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม ซึ่งจำเป็นในบางราย ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายในการปรึกษาอายุรแพทย์ และค่าทดสอบทางห้องปฏิบัติการในส่วนนี้ ผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัดต้องชำระเองเพิ่มเติมทั้งหมดตามราคาจริง 
  • หลังจากอายุรแพทย์ประเมินแล้วพบว่า สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ เจ้าหน้าที่จะนำผู้ที่ต้องการรับการผ่าตัดกลับมายัง ศูนย์จุดซ่อนเร้น เพื่อพบกับ แพทย์หญิง วิทัศศนา โปรดสอบถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการผ่าตัด และรับฟังคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวก่อนการผ่าตัด

เมื่อพร้อมที่จะเข้ารับการผ่าตัด โปรดโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อนัดวันผ่าตัด หากผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัด เผชิญกับสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เริ่มไม่สบาย, มีไข้ หรือมีประวัติการแพ้ยา กรุณาแจ้งเจ้าหน้าที่หรือแพทย์ก่อนการผ่าตัด

2) ขั้นตอนก่อนการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด

  • ในกรณีผู้ที่ผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัด มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการผ่าตัด คุณจะได้พบกับ แพทย์หญิง วิทัศศนา เพื่อพูดคุยอีกครั้ง โปรดสอบถามข้อสงสัย และรายละเอียดอื่นๆ กรณีไม่แน่ใจหรือกังวลมาก เนื่องจากเหตุผลใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับการผ่าตัด ควรเลื่อนการผ่าตัดไปก่อน
  • กรณีที่ผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัด ไม่มีโรคประจำตัว หรือกรณีมีโรคประจำตัว ซึ่งอายุรแพทย์ประเมินแล้ว พบว่าสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ และไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการผ่าตัด คุณจะต้องกรอกเอกสารแสดงความยินยอมเข้ารับการผ่าตัด
  • ซึ่งจะถือเป็นใบอนุญาต ให้ทางเจ้าหน้าที่และแพทย์ สามารถทำการผ่าตัดคุณได้ จากนั้นพยาบาลจะให้คำแนะนำ เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวหลังการผ่าตัด โปรดสอบถามข้อสงสัยอื่นๆ ก่อนเข้ารับการผ่าตัด 
  • จากนั้นเจ้าหน้าที่จะนำผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัด ไปชำระค่าบริการผ่าตัดทั้งหมดที่แคชเชียร์ และส่งคุณไปยังตึกผู้ป่วยใน เพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าห้องผ่าตัด เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบข้อมูล ชื่อ-นามสกุล,วันเกิด รวมทั้งจะช่วยเหลือในการเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อใส่ชุดคลุมผ่าตัด และมอบสายรัดข้อมือสำหรับระบุตัวตน

ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนเข้าห้องผ่าตัด

  • ซึ่งเจ้าหน้าที่พยาบาลจะทำการตรวจสอบ ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ รวมทั้งสัญญาณชีพ ได้แก่ อุณหภูมิ, การหายใจ, ความดันโลหิต และชีพจร และต้องมีการเจาะเลือด เพื่อส่งตรวจทางเคมีขั้นพื้นฐาน เอ็กซเรย์ปอด รวมทั้งต้องมีการตรวจคลื่นหัวใจ ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปี
  • กรณีผู้ต้องการเข้ารับการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด  ต้องการฝากเครื่องประดับและของมีค่า รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ สามารถฝากของได้ที่แคชเชียร์ ทั้งนี้คุณสามารถรับของมีค่าได้ทั้งหมด ก่อนออกจากโรงพยาบาล
  • หลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมการเหล่านี้แล้ว เจ้าหน้าที่จะนำคุณไปยังบริเวณห้องผ่าตัด ซึ่งคุณจะได้รับการดูแลต่อโดยทีมเจ้าหน้าที่วิสัญญี ในระหว่างที่รอ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าห้องผ่าตัด คุณจะได้รับการฉีดยาปฏิชีวนะภายในหนึ่งชั่วโมงก่อนการผ่าตัด ทั้งนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อของแผลผ่าตัด 
  • หลังจากนั้นวิสัญญีแพทย์ จะทำการประเมินสุขภาพของคุณโดยรวมอีกครั้ง และจะแจ้งข้อมูล เกี่ยวกับการให้ยาระงับความรู้สึก ขณะทำผ่าตัดโดยละเอียด โปรดสอบถามข้อสงสัยอื่นๆ รวมทั้งรายละเอียดของการให้ยาระงับปวดหลังการผ่าตัด

หลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมการเหล่านี้แล้ว เจ้าหน้าที่ของห้องผ่าตัดจะนำคุณไปยังห้องผ่าตัด โดยการดูแล ของเจ้าหน้าที่พยาบาล ประจำห้องผ่าตัดต่อไป

 

ต้องการอ่านเพิ่มเติม โปรดคลิก

ปัญหาทั่วไปของ อวัยวะเพศ ภายนอกของ ผู้หญิง

คำถามบ่อยเกี่ยวกับการผ่าตัด รีแพร์ ด้านหน้า และ ด้านหลังผนังช่องคลอด

 

3) ขั้นตอนการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด

  • การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยการดมยาสลบ เมื่อผู้ป่วยหลับแพทย์จึงจะทําการผ่าตัด โดยเริ่มจากการผ่าตัดทางด้านหน้าของผนังช่องคลอด โดยการเลาะเอาผนังช่องคลอดด้านหน้า
  • ส่วนเกินที่ยื่นเข้าไปในช่องคลอดทิ้ง ดังนั้นผนังช่องคลอดทางด้านหน้าจะขาดออกจากกันเป็นรูปลิ่ม หรือตัววีกลับหัว ( V ) –(โดยที่ด้านแหลมของตัว V อยู่ใกล้กับปากช่องคลอด-ด้านกว้างของตัว V อยู่ใกล้กับปากมดลูก)
  • หลังจากนั้นแพทย์จะนําขอบแผลทั้งสองข้าง (หรือขาของตัว Vทั้งสองข้าง) มาชิดกันใหม่–แล้วจะทําการเย็บขอบแผลให้ติดกันด้วยไหมละลายช้า โดยเริ่มที่ด้านแหลมของตัว V ที่อยู่ใกล้กับปากช่องคลอดก่อน (ดังรูป)
  • โดยจะทําการเย็บซ่อมผนังช่องคลอดตลอดความยาวทั้งหมดของผนังช่องคลอดทางด้านหน้า–โดยทําการเย็บทั้งหมด 2 หรือ 3 ชั้นตามความเหมาะสม และเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการเกิดแผลแยก ที่จะทําให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ

 

แสดงการเย็บแผล ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าช่องคลอด

การผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าช่องคลอด

 

  • หลังจากนั้นแพทย์ก็จะทําการผ่าตัดในกระบวนการเช่นเดียวกัน ที่ทางด้านหลังของผนังช่องคลอด โดยแพทย์จะทําการผ่าตัดเลาะเอาผนังช่องคลอดด้านหลังส่วนเกินที่ยื่นเข้าไปในช่องคลอดทิ้ง
  • ดังนั้นผนังช่องคลอดทางด้านหลังจะขาดออกจากกันเป็นรูปลิ่มหรือตัววีกลับหัว ( V ) โดยที่ด้านแหลมของตัว V อยู่ใกล้กับปากมดลูก-ด้านกว้างของตัว V อยู่ใกล้กับปากช่องคลอด
  • หลังจากนั้นแพทย์จะนําขอบแผลทั้งสองข้างหรือขาของตัว V ทั้งสองข้างมาชิดกันใหม่–แล้วจะทําการเย็บขอบแผลให้ติดกันด้วยไหมละลายช้า โดยเริ่มที่ด้านแหลมของตัว V ที่อยู่ใกล้กับปากมดลูกก่อน
  • ทั้งนี้แพทย์จะทําการเย็บซ่อมผนังช่องคลอดตลอดความยาวทั้งหมดของผนังช่องคลอดทางด้านหลัง (ดังรูป) โดยทําการเย็บทั้งหมด 2 หรือ 3 ชั้นตามความเหมาะสม
  • ผลลัพธ์ที่ได้จากการผ่าตัด คือจะทำให้ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนดีขึ้น และในขณะเดียวกันก็ทำให้ช่องคลอดกระชับขึ้นด้วย ผู้ป่วยจำเป็นต้องใส่ผ้ากอซ (vagina packing ) ไว้ในช่องคลอด 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด เพื่อช่วยห้ามเลือด และใส่สายสวนปัสสาวะไว้ 3-5 วันหลังการผ่าตัด

 

วิธีผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด

การผ่าตัดตกแต่งด้านหลังช่องคลอด

 

 

4) ขั้นตอนหลังการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด

  • หลังเสร็จจากการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการสังเกตอาการที่ห้องพักฟื้น 1-2 ชั่วโมง เมื่อผู้ป่วยรู้สึกตัวดี, สัญญาณชีพปกติ–วิสัญญีแพทย์จึงจะอนุญาตให้ผู้ป่วยกลับไปนอนพัก เพื่อสังเกตอาการต่อที่ตึกผู้ป่วยใน
  • ผู้ป่วยอาจมีอาการมึนงง, เวียนศีรษะหรือคลื่นไส้อาเจียน จากการดมยาสลบ ภาวะนี้จะดีขึ้นได้เอง เมื่อระดับยาในร่างกายลดลง
  • ที่ตึกผู้ป่วยใน ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดจะได้รับยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังการผ่าตัด, ยาระบายเ พื่อป้องกันภาวะท้องผูก, ยาแก้อักเสบและยาพาราเซตามอล ที่ช่วยลดอาการปวดแผลผ่าตัด
  • กรณีผู้ป่วยมีอาการปวดแผลมากไม่ดีขึ้นหลังการรับประทานยาแก้ปวด กรุณาแจ้งพยาบาล เพื่อขอรับยาแก้ปวดชนิดฉีด เพื่อบรรเทาอาการปวด
  • ในระยะ 2-3 วันแรกหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกปวดที่บริเวณก้นกบ เนื่องจากการผ่าตัดมีการเย็บผนังด้านหลังของช่องคลอดส่วนบน ที่อยู่ใกล้กับปากมดลูก ซึ่งมีเอ็นยึดบริเวณปากมดลูกกับกระดูกก้นกบ
  • รวมทั้งผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเบ่งคล้ายอยากถ่ายอุจจาระตลอดเวลา เนื่องจากมีการเย็บบริเวณส่วนที่กั้นระหว่างปากช่องคลอดกับทวารหนักที่มีหูรูดทวารหนักอยู่ ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรนอนพัก  และควรหลีกเลี่ยงการเบ่งถ่ายอุจจาระ เนื่องจากภาวะท้องผูก โดยการรับประทานยาระบาย

หลังการผ่าตัดมีความจำเป็นที่จะต้องใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้

  • โดยเฉพาะในระยะ 3-5 วันแรกหลังการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด เพื่อป้องกันไม่ให้มีปัสสาวะคั่งค้าง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะทางเดินปัสสาวะอักเสบ อันเนื่องมาจากภาวะปัสสาวะลำบากหลังผ่าตัด 
  • ซึ่งเกิดจากภาวะตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณรอบปากช่องคลอด หลังจากการผ่าตัดในระยะแรก หลังจากนั้นเมื่อภาวะตึงตัวของกล้ามเนื้อรอบปากช่องคลอดลดลง ผู้ป่วยก็จะสามารถปัสสาวะได้เองตามปกติ
  • ในระยะ 3-5 วันแรกหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยไม่ควรอาบน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อของแผลผ่าตัด (อาจใช้การเช็ดตัวไปก่อน) ซึ่งการทำความสะอาดบริเวณแผลผ่าตัดหลังการถ่ายอุจจาระ สามารถทำได้โดยล้างผ่านน้ำเปล่าแล้วซับเบาๆให้แห้ง
  • หลังการผ่าตัด 3-5 วัน ผู้ป่วยจะได้รับการถอดสายสวนปัสสาวะ จากนั้นแพทย์หญิง วิทัศศนา จะทําการตรวจแผลผ่าตัด เพื่อดูว่าไม่มีเลือดออกมากผิดปกติ และเมื่อมีการสอบถาม เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวหลังการ
  • ผู้ป่วยสามารถตอบคําถามได้ถูกต้อง รวมทั้งสามารถปัสสาวะได้เอง แพทย์หญิง วิทัศศนา จึงจะอนุญาตให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้

5) การดูแลหลังการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด

  • เมื่อกลับบ้านควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะควรรับประทานให้ครบทั้งหมด หลังการผ่าตัด 3-5 วัน ผู้ป่วยสามารถอาบน้ำได้ตามปกติ ซึ่งผู้ป่วยควรทำความสะอาดแผล บริเวณปากช่องคลอดด้วยการฟอกสบู่ขณะอาบน้ำ ในตอนเช้าและ/หรือก่อนนอนทุกครั้ง
  • ทั้งนี้ผู้ป่วยไม่ควรพยายามทำความสะอาดในช่องคลอด โดยการล้วงเข้าไปในช่องคลอด หรือพยายามฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อเข้าไปในช่องคลอด
  • ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิดหลังการผ่าตัด แต่ควรยกเว้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ของหมักดองและงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 15 วันหลังการผ่าตัด
  • ผู้ป่วยควรจะต้องหยุดทำงาน และงดกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำเป็นประจำในระยะ 5-7 วันแรกหลังการผ่าตัด ซึ่งก็จะช่วยให้แผลผ่าตัดไม่ถูกขยับไปมาเกือบตลอดเวลาหลังการผ่าตัด
  • ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน จากภาวะแผลแยกหลังการผ่าตัดได้ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการเบ่งอุจจาระจากภาวะท้องผูก โดยการรับประทานยาระบาย 
  • อาจมีเลือดสีแดงจางๆออกจากช่องคลอด ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ดังนั้นผู้ป่วยควรใส่ผ้าอนามัย เพื่อสังเกตปริมาณเลือดที่ออกจากช่องคลอด กรณีมีเลือดออกมากชุ่มผ้าอนามัย หรือมีเลือดออกเป็นก้อนสีแดงสด กรุณาโทรติดต่อโรงพยาบาลทันที เพื่อขอรับคำแนะนำ หรือกลับมาพบแพทย์ เพื่อตรวจแผลผ่าตัด

ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด

  • ผู้ป่วยควรพยายามหลีกเลี่ยงความอับชื้นบริเวณแผล ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด เพื่อช่วยให้แผลผ่าตัดแห้งและหายเร็วขึ้น สำหรับการทำความสะอาดบริเวณบริเวณปากช่องคลอดหลังปัสสาวะ สามารถทำได้โดยการซับด้วยทิชชูเปียก (Sanitary Wipes) และการทำความสะอาดหลังการถ่ายอุจจาระ โดยการล้างผ่านน้ำเปล่าแล้วซับเบาๆให้แห้ง 
  • หลังการผ่าตัดอาจมีตกขาวสีเหลืองเข้ม หรือตกขาวมีสีคล้ายหนองนาน 6-8 สัปดาห์  เนื่องจากภายในช่องคลอดจะเต็มไปด้วยสารคัดหลั่งและแบคทีเรียต่างๆ ทําให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อที่ผ่าตัดและไหมที่เย็บแผลผ่าตัดในช่องคลอด
  • ทั้งนี้ต้องใช้เวลานาน 6-8 สัปดาห์ แผลที่ผ่าตัดจึงจะติดดีและไหมจะละลายหมด ดังนั้นผู้ป่วยโปรดอย่ากังวลใจ ยกเว้นในกรณีตกขาวมีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับยารับประทานเพิ่มเติม
  • หลังการผ่าตัดผู้ป่วยอาจมีตกขาวสีขาวปนเขียว หรือมีอาการคันในช่องคลอดมากกว่าปกติหลังการผ่าตัด เนื่องจากเชื้อราภายในช่องคลอด ซึ่งเกิดตามหลังการรับประทานยาปฏิชีวนะ
  • ทั้งนี้โดยทั่วไปแพทย์จะจัดยาฆ่าเชื้อราให้รับประทาน หลังหยุดยาปฏิชีวนะ 1 สัปดาห์ หรือให้ยาเหน็บช่องคลอดฆ่าเชื้อรา เมื่อแผลผ่าตัดหายดีแล้ว หรือหลังการผ่าตัด 6-8 สัปดาห์

ต้องการอ่านเพิ่มเติม

ภาวะแทรกซ้อน หลังการผ่าตัด ตกแต่งด้านหน้า และ ด้านหลังช่องคลอด

ภาพก่อน-หลัง ศัลยกรรมจุดซ่อนเร้น

 

วันนัดหมาย หลังการผ่าตัด ครั้งที่ 1

  • ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์ตามนัด ทั้งนี้แพทย์หญิง วิทัศศนา จะนัดตรวจแผลผ่าตัดครั้งแรกหลังการผ่าตัด 1-2 สัปดาห์ และให้คำแนะนำในการดูแลหลังการผ่าตัดเพิ่มเติม รวมทั้งให้การรักษาในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด 

การพักฟื้น หลังการผ่าตัด 

  • วิธีการพักฟื้นหลังการ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด อาจจะแตกต่างกันออกไป ในผู้ป่วยแต่ละคน ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด บริเวณที่ทำการผ่าตัดยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ค่อนข้างมาก
  • ดังนั้นผู้ป่วยควรจะค่อยๆ เริ่มกลับมาทำกิจกรรมทางกายภาพต่างๆ ที่ต้องใช้กำลังได้เล็กน้อยและยกของเบาๆ ได้  แต่ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางกายภาพที่ต้องเดินมากๆ และการขึ้นลงบันไดบ่อยๆ 
  • ในช่วงหลังสัปดาห์ที่ 2 จนถึงสัปดาห์ที่ 4 หลังการผ่าตัด บริเวณที่ทำการผ่าตัดอาจจะยังคงเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมทางกายภาพต่างๆ ที่ต้องใช้กำลังปานกลางได้พอควร แต่ควรงดการออกกําลังกายทุกชนิด
  • ในช่วงหลังสัปดาห์ที่ 4 จนถึงสัปดาห์ที่ 6 หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่างๆทางกายภาพที่ต้องใช้กำลังปานกลางได้มากขึ้น และผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายที่ใช้แรงของลำตัวช่วงบนได้ 
  • แต่ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางกายภาพที่ส่งผลกระทบต่อแผลผ่าตัด เช่น การวิ่งออกกำลังกายหรือการเดินเร็ว, การแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำ, การว่ายน้ำ, การออกกําลังกายยกนํ้าหนัก, การขี่จักรยาน, การเล่นโยคะและการซิทอัพ รวมทั้งควรงดการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลาอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์

วันนัดหมาย หลังการผ่าตัด  ครั้งที่ 2

  • โดยทั่วไปจะมีการนัดตรวจแผลผ่าตัดครั้งที่ 2 หลังการผ่าตัด 6-8 สัปดาห์ เพื่อติดตามผลลัพธ์หลังการผ่าตัด รวมทั้งให้คําแนะนําก่อนการเริ่มมีเพศสัมพันธ์ 
  • ไหมที่ใช้เย็บแผลผ่าตัด เป็นไหมที่ละลายช้าภายใน 6-8 สัปดาห์ แต่พบว่าในผู้ป่วยบางราย อาจใช้เวลานานมากกว่าปกติ ไหมจึงจะละลายหมด
  • ทำให้เกิดอาการระคายเคืองจากไหมที่ใช้เย็บในการผ่าตัด ในผู้ป่วยที่มีอาการคันหรืออาการระคายเคืองมาก แนะนำให้รับประทานยาแก้แพ้ เพื่อช่วยบรรเทาอาการคัน 

ราคาค่าผ่าตัด โดยเลเซอร์ 

  • ราคาเหมาจ่าย 95,000 บาท รวมค่าบริการวิสัญญีแพทย์ และค่ายากลับบ้าน และค่าห้องพักโรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน
  • ราคาผ่าตัดเหมาจ่ายนี้ ไม่รวมถึงการตรวจเพิ่มเติมทางเคมี และค่าปรึกษาแพทย์ทางอายุรกรรม ซึ่งจำเป็นในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว รวมทั้งไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการผ่าตัดแก้ไข เพื่อให้ผู้ป่วยพอใจผลลัพธ์ของการผ่าตัดตามที่ผู้ป่วยต้องการ
  • ในกรณีที่การผ่าตัดมีภาวะแทรกซ้อน เช่น มีเลือดออกมากผิดปกติจากแผลผ่าตัด, แผลผ่าตัดแยก รวมทั้งการเกิดรูรั่วระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับช่องคลอด หรือเกิดรูรั่วระหว่างลําไส้กับช่องคลอด
  • ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลรักษาต่อเนื่องจนกว่าภาวะดังกล่าวจะดีขึ้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นแต่ในกรณีเกิดภาวะแทรกซ้อน เกิดจากการปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องของผู้ป่วย หรือในกรณีผู้ป่วยมีเพศสัมพันธ์ก่อนแพทย์อนุญาต ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเองทั้งหมด ไม่ว่าจะรักษาเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลใดก็ตาม

สรุป

การ ผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด เป็นหนึ่งในกลุ่มในกลุ่มของ ศัลยกรรมนรีเวชทางเดินปัสสาวะ ที่มีความซับซ้อนและยุ่งยากมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยแพทย์ที่ผ่าตัดต้องมีความรู้, ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างทางกายวิภาคของช่องคลอด และมีทักษะการผ่าตัดที่ความแม่นยำเป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน หรือมีให้น้อยที่สุด นรีแพทย์ส่วนใหญ่ขาดประสบการณ์ หรือมีประสบการณ์ทางด้านศัลยกรรมประเภทนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นผู้ต้องการเข้ารับบริการจำเป็นต้องคำนึงถึงประสบการณ์ของแพทย์ที่จะทำการผ่าตัด

ข้ามไปยังทูลบาร์